วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การเปรียบเทียบยุคสมัยประวัติศาสตร์ไทยและสากล







ศิลปะยุคหินกลางและหินใหม่

ศิลปกรรมยุคหินกลาง (Mesolithic or Middle Stone Age Art)
ยุคหินกลางของยุโรปมีช่วงเวลาระหว่าง 8000-3000 ปีก่อนคริสตกาล
ลักษณรูปแบบศิลปะในช่วงนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก และเป็นช่วง
รอยต่อที่สำคัญของยุคหินเก่า ซึงมนุษย์มีวิถีชีวิตใกล้เคียงกับสัตว์
ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ สู่ยุคหินใหม่ที่มนุษย์สามารถปฏิรูปจัดการ
ธรรมชาติได้ โดยยุคหินกลางจะถูกรวมเข้าไว้กับยุคหินใหม่
หรือจัดให้เป็นจุดเริ่มต้นของยุคหินใหม่ ศิลปกรรมสมัยหินกลาง
ที่มีการค้นพบคือ จิตรกรรมตามหน้าผาบริเวณชายฝั่งทะเล
เมดิเตอร์เรเนียนของสเปน ประเทศโปรตุเกสมีการวาดภาพทั้งคน
และสัตว์ ความสูงประมาณ3ฟุต มีท่าทางเคลื่อนไหวและเรื่องราว
ในการดำรงชีวิต แสดงออกเป็นรูปคล้ายกันทั้งหมด โดย
เมื่อเปรียบเทียบศิลปะสมัยยุคกินกลางกับยุคหินเก่าแล้วนั้น
ทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม จะพบว่ามีคุณค่าด้อยกว่า
ยุคหินเก่าทั้งฝีมือและการแสดงออก และผลงานที่หลงเหลือ
ก็มีจำนวนจำกัดด้วย
ศิลปกรรมยุคหินใหม่(Neolithic Art)
ช่วงระยะสุดท้ายของยุคหินคือยุคหินใหม่ มนุษย์ได้มีการพัฒนาตนเอง
จากผู้ที่เคยดำรงชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติ มาสู่ก้าวใหม่ใน
การวิวัฒนาการคือได้พัฒนามาเป็นสังคมเกษตรกร มนุษย์ยุคนี้
มีความสามารถด้านการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และได้ออกจากถ้ำ
มาตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชน ซึ่งหมู่บ้านในสมัยนั้นสร้างบ้านด้วยดินดิบ
มุงหลังคาด้วยใบไม้ บางหมู่บ้านมีการปลูกข้าวสาลีและข้าวบาเลย์
รู้จักทำธนู และลูกศร รู้จักนำสุนัขมาเลี้ยง รู้จักใช้หินเหล็กไฟที่ขัดจน
บางเรียบใช้หินที่ขัดจนแหลมคมใช้ในการล่าสัตว์และป้องกันตัว รู้จักใช้ไฟ
ในการปิ้งอาหาร รู้จักทำภาชนะดินเผาไว้ใส่อาหาร และรู้จักการสร้าง
เรือแคนนูจากท่อนซุง ส่วนของการเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าแพะหรือวัวนั้น
เป็นการเลี้นงเพื่อรับประทานเนื้อ นม และเอาหนังมาใช้นุ่งห่ม ถือเป็น
การปฏิวัติตนเองครั้งแรกของมนุษย์ ที่ประสบความสำเร็จในการเอาชนะ
ธรรมชาติได้อย่างแท้จริง ส่วนศิลปกรรมยุคหินใหม่ที่เด่นๆคือ
เครื่องปั้นดินเผาประเภทเครื่องประดับ ปรากฎอยู่ในแคว้นบริตานี
ของฝรัั่งเศส และไอร์แลนด์ของอังกฤษ ส่วนผลงานจิตรกรรมนั้นไม่เด่นชัด
และศิลปกรรมที่โดดเด่นที่สุดของยุคหินใหม่คืออนุสาวรีย์หิน(Megelithic)
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์นำเอาหินขนาใหญ่มาตั้ง วาง ในลักษณะต่างๆ
แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ แบบหินตั้งกับแบบโต๊ะหิน และก็ยังสามารถจำแนก
ย่อยตามลักษณะการวางได้ดังนี้-หินตั้งเดี่ยว(Menhir or Standing Stone)
เมนเฮอร์ เป็นแท่งหินที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว เมนเฮร์ที่หใญ่ที่สุดอยู่ที่ลอคมารีเก
ฝรั่งเศส สูงถึง 64 ฟุต-หินตั้งเป็นแกนยาว(Alignment) เป็นการตั้งหิน
ให้ตรงเป็นแนวตั้งฉากกับพื้น และเป็นแถวยาวหลายก้อน บางแห่งมี
จำนวนถึงกว่า1000แท่ง และตั้งเรียงยาวกว่า2ไมล์-หินตั้งเป็นวงกลม
(Cromlech or Stonehenge) คือการเอาก้อนหินมาวางในลัษณะวงกลม
คอมเลคที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่แอฟบิวรี่ อังกฤษ มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง6ไมล์






















































-โต๊ะหิน(Dolmen) ลักษณะเป็นแท่งหินขนาดมหึึมาสามแท่ง
หรือมากกว่านั้นวางพาดทับกันอยู่ คล้ายโต๊ะขนาดยักษ์
หรือคล้ายประตูที่คนสามารถเดินลอดผ่านได้สบาย
พบโดยทั่วไปทั้งในยุโรปและอาฟริกา



















ปัจจุบันยังมีการถกเถียงถึงเหตุผลในการสร้างอนุสาวรีย์หินของ
มนุษย์ยุคหินใหม่ โดยนักโบราณคดีต่างก็เสนอข้อสันนิษฐาน
ที่ต่างกันไป บ้างว่าสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้า บ้างว่าเพื่อคำนวนผล
ทางดาราศาสตร์ แต่ที่ยังเป็นข้อสงสัยคือหินขนาดมหึมาเหล่านี้
มนุษย์ยุคนั้นสามารถยกวางตั้งกันได้อย่างไร และก็เป็นการแสดงถึง
ความมีระบบสังคมที่เข้มแข็ง มีความเชื่อ ความศรัทธา ในสิ่งเดียวกัน
ทั้งยังมีระบบการปกครองได้อย่างดี ถึงได้สามารถสร้างสิ่งลึกลับ
ดังกล่าวให้ปรากฏ และยังคงอยู่จนปัจจุบัน

ศิลปะสมัยโบราณ

ศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Art before writing)
มนุษย์กับศิลปรรมก่อนประวัติศาสตร์ การสร้างสรรค์ศิลปะของมนุษย์ใน
ยุคนั้นไม่ใช่ทำไว้เพื่อต้องการอวดโฉมไว้แก่มนุษย์รุ่นหลัง แต่เขา
สร้างสรรค์ผลงานเพื่อบันทึกการดำรงชีวิตของตนเองไว้ ทั้งด้้านการใช้สอย
อาวุธ เครื่องมือ สร้างเพื่อผลทางความเชื่อ และเพื่อผลทางความงาม
สำหรับศักยภาพของมนุษย์ในสมัยนั้น ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
ออกมาได้เป็นเพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักคิด และเป็นความคิดที่
น่าอัศจรรย์เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อื่นๆ ทำให้มนุษย์สามารถใช้สัญลักษณ์
ในการสื่อสารหรือเป็นตัวแทนความคิดต่างๆได้ และได้กลายเป็นภาษา
ในการสื่อสารและทำให้เกิดความเจริญต่อๆมา เพราะภาษาที่ใช้นั้นซับซ้อน
มากขึ้น มีการพัฒนาทางด้านมันสมองและร่างกายเรื่อยมาชีวิตและศิลปกรรม
ของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ศิลปะของมนุษย์สมัยนั้นมีความผูกพัน
เกี่ยวกับเนื่องกับวิถีชีวิตของมนุษย์สมัยนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อดูเชิงใน
การวิวัฒนาการของมนุษย์ในยุคนั้น นักโบราณคดีได้จำแนกช่วงเวลาเพื่อ
ศึกษามนุษย์กลุ่มนี้ โดยอาศัยพัฒนาการวัตถุศิลปะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้
ในการดำรงชีวิตเป็นตัวจำแนก ดังนั้นศิลปกรรมของมนุษย์สมัยนั้นแบ่งเป็น
3 ช่วงที่สำคัญคือ..
-ยุคหินเก่า(Paleolithic or Old Stone Age, 30000-10000ปีก่อนคริสตกาล)
-ยุคหินกลาง(Mesolithic or Middle Stone Age , 10000-8000 ปีก่อนคริสตกาล)
-ยุคหินใหม่ (Neolithic or New Stone Age , 8000-3000 ปีก่อนคริสกาล)
ศิลปกรรมยุคหินเก่า (Paleolithic or Old Stone Age)
ในซีกโลกตะวันตก มนุษย์ที่มีชีวิตในช่วงยุคหินเก่าที่ปรากฎหลักฐานอย่าง
โดดเด่นคือ มนุษย์โครมายอง(Cro-Magnon)ซึ่งเรียกตามชื่อถ้ำโครมายอง
ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝรั่งเศส ถ้ำนี้พบโครงกระดูกและศิลปะวัตถุของ
มนุษย์ยุคนั้นเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่ามนุษย์กลุ่มนี้จัดเป็นหนึ่งในมนุษย์
สมัยใหม่ หรือมนุษย์โฮโมซาเปี้ยนส์(Homo Sapiens) มนุษย์กลุ่มนี้มีรูปร่าง
สูงใหญ่โดยมีความสูงเกือบ 6 ฟุต กะโหลดศรีษะยาว ใบหน้าสั้น มีปริมาณ
สมองใกล้เคียงชาวยุโรปปัจจุบัน มีถิ่นอาศัยกระจายอยู่ทั่วยุโรปและเอเชีย
มนุษย์โครมายองนอกจากจะมีความสามารถในการเขียนภาพบนผนังถ้ำแล้ว
ยังรู้จักเผาศพและสักบนใบหน้า ถัดจากสมัยโซลูเทรียน ในยุคหินเก่าตอน
ท้ายได้ก้าวเข้าสูสมัยแมกดาเลเนียน(Magdalenian) ซึ่งเป็นช่วงที่ปรากฏ
มนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งชื่อว่ากริมาลดี(Grimaldi)ซึ่งมีความสามารถทางศิลปะ
ไม่แพ้มนุษย์โครมายอง ผลงานของพวกเขาเป็นภาพเขียนบนผนังถ้ำ ภาพ
แกะสลัก และปั้นรูปสัตว์ต่างๆ การทำเข็มกระดูกสัตว์เพื่อเย็บหนังสัตว์
อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว มนุษย์ในยุคหินเก่าจะดำรงชีพโดยการล่าสัตว์
และหาพืชผักผลไม้เป็นอาหาร พวกเขาต้องพึ่งพาธรรมชาติ และสถาวะ
แวดล้อมอย่างมาก และเมื่อฝูงสัตว์หรือพืชผักหมดลง พวกเขาก็จะอพยพ
ย้ายไปหาแหล่งใหม่ และมักอยู่ใกล้ทะเลหรือหนองน้ำเพื่อหาอาหาร และน้ำ
แม้แต่ถ้ำที่อาศัยก็จะมีลำธารไหลผ่าน เมื่อลำธารนั้นอุกตันก็จะย้ายไป
หาถ้ำใหม่อาศัย ชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเขาหมดไปกับการหาอาหาร
การป้องกันตนเองจากภัยธรรมชาติและสัตว์ร้ายรวมทั้งต่อสู้ในหมู่
พวกเดียวกันเพื่อการอยู่รอด โดยใช้หินกระเทาะเป็นอาวุธหรือเครื่องมือ
ส่วนระบบสังคมยังไม่มีการรวมกลุ่มเป็นชุมชนหมู่บ้านหรือเมืองอย่าง
เด่นชัด
ศิลปะยุคหินเก่า(The Art of The Old Stone Age Paleolithic )
จิตรกรรม การดำรงชีวิตของมนุษย์ในระยะแรกนั้นจะมีสภาพชีวิตคล้างคลึง
กับสัตว์ป่า พวกเขาอาศัยในถ้ำมีความหนาแน่น คือถ้ำในประเทศสเปน
ฝรั่งเศส และอิตาลี ถ้ำที่มีชื่อเสียงคือ ถ้ำAltamira ,ถ้ำ์Niaux ,
ถ้ำla Madeleine ,ถ้ำLascaux ,ถ้ำFont-de-Gaume ซึ้งอยู่ในบริเวณ
ประเทศสเปนกับฝรั่งเศส ร่องรอยของมนุษย์ได้ปรากฏผ่านงานจิตรกรรม
ที่วาดบนผนังถ้ำ โดยลักษณะรูปแบบก็แตกต่างกันออกไป
ถ้ำลาสโคซ์ (Lascaux) อยุ่ใกล้ Montingnac บริเวณลุ่มน้ำ Dordone
ประเทศฝรั่งเศส ถูกสำรวจพบใน ค.ศ.1940 ในส่วนของงานศิลปะ
ได้ทดสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์พบว่าเป็นผลงานของมนุษย์สมัยหินเก่า
ถูกวาดขึ้นประมาณ 15000-13000 ปีก่อนคริสตกาล รูปแบบผลงานมี
เนื้อหาเกี่ยวกับสัตว์เช่นภาพวัวไบซัน ม้า กวาง ศิลปินได้แสดงออก
เป็นภาพด้านข้างที่คำนึงถึงความเป็นจริงและลีลาเครื่อนไหว ผลงานนั้น
ใช้เส้นสายที่กล้าหาญแต่ไม่ได้คำนึงถึงสัดส่วน ภาพสัตว์ทั้งหลายเมือ
เทียบสัดส่วนกันแล้วจะไม่ัสัมพันธ์กับภาพอื่น เช่น ภาพวัวบางตัวยาวถึง
16 ฟุตขณะที่ภาพม้าสูงแค่ขาของวัวเป็นต้น













ภาพเขียนที่ถ้ำ Lascaux
ถ้ำอัลตามีรา(Altamira) อยู่ในตอนเหนือของสเปน เป็นถ้ำหินปูน
ลึกประมาณ300หลา มีผลงานศิลปะของมัษย์ก่อนประวัติศาสตร์
ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ จากการทดสอบพบว่าผลงานถูกเขียนขึ้นประมาณ
15000-10000 ปีก่อนคริสตกาล โดดเด่นดานทักษะการเขียนภาพ
มีเจตนาที่จะแสดงความเป็นจริง แสดงให้เห็นว่าศิลปินมีความสามารถ
ในการสังเกตุกริยาท่าทางของสัตว์ได้เป็นอย่างดี ด้วยการระบายตัว
สัตว์ด้วยสีแดงผสมกับการตัดเส้น ภาพที่ปรากฎมีทั้งภาพม้า วัวไบซัน
ทั้งเดี่ยวและฝูง มีทั้งหมด 25 ภาพ แต่ละถาพใกล้เคียงขนาดสัตว์ตัวจริง
จิตรกรรมที่ถ้ำแห่งนี้ถูกยกย่องว่าเป็นผลงานที่มีความถึงพร้อมทั้ง
ด้านสุนทรียภาพ และวิธีการเขียน จึงมักถูกยกเป็นตัวอย่างใน
การพูดถึงงานจิตรกรรมในยุคนี้เสมอ
















ภาพเขียนที่ถ้ำ Altamira
สำหรับวิธีการเขียนภาพบนผนังถ้ำของศิลปินยุคหินเก่ามีวิธีที่หลากหลาย
แต่โดยรวมจะใช่วิธีการวาดอย่างง่ายเช่น เอาฝ่ามือประทับบนฝาผนังใช้
สีแดงหรือดำระบายรอบๆฝ่ามือซึ่งเรียว่าวิธีอิมพริ้นท์(Imprints)
หรือไม่ศิลปินจะใช้วิธีวาดภาพผสมกับการพิมพ์ภาพนูนโดยใช้วิสดุผิวนูน
เช่นฝ่ามือหรือวัสดุบางอย่างจุ่มสีแล้วกดลงบนผนังถ้ำ นอกจากนี้ศิลปิน
ยังใช้วิธีพ่นด้วยหลอดกลวงที่ทำมาจากท่อนกระดูดสัตว์ และมีการระบายสี
เช่นเดียวกับจิตรกรรมปัจจุบัน ต่างตรงที่วัสดุอุปกรณ์ในการวาดต่างกัน
ตามยุคสมัย ในสมัยนั้นจะใช้ไม้มาทุบปลายให้แตกหรือใช้ปีกขนสัตว์
และกิ่งไม้แทนพู่กัน และสีที่มีในธรรมชาติคือ ดินสีดำ แดง ขาว น้ำตาล
เหลือง ส่วนสีดำได้จากถ่านและเขม่าไฟ ลักษณะพิเศษของจิตรกรรม
ผนังถ้ำยุคหินเก่าก็คือ ศิลปินมีการคักสรรพื้นผนังที่มีลักษณะสอดคล้อง
กับรูปลักษณ์ของสัตว์หรือเรื่องราวที่จะวาด


















ภาพเขียนที่ถ้ำ Niaux
ลักษณะเด่นโดยภาพรวมของจิตรกรรมบนผนังถ้ำในยุคหินเก่าคือ
ศิลปินพยายามถ่ายทอดภาพที่เห็นอย่างตรงไปตรงมาและแสดง
ความเป็นจริงที่ตาเห็นด้วยความมั่นใจ ศิลปินสามารถจดจำลักษณะ
โครงสร้างส่วนประกอบของสัตว์ได้เป็นอย่างดีและจับลีลาท่าทาง
ต่างๆและถ่ายทอดออกมาได้อย่างชำนาญประติมากรรม
ประติมากรรมสมันก่อนประวัติศาสตร์ปรากฎที่งในยุคหินเก่า
ยุคหินกลาง ยุคหินใหม่ มีที่งการปั้นและแกะสลัก วัสถดุหลักๆ
ในการแกะสลักในสมัยนั้นคือหิน กระดูก ไม้ เขาสัตว์ และเครื่องมือ
ก็ทำจากหินเช่นกัน ประติมากรสมัยหินเก่ามีการใช้วิธีขูด ขัดแต่ง
เซาะ รูปแบบประติมากรรมจึงเป็นแบบการตัดทอนรูปทรงในธรรมชาติ
ให้ง่ายต่อการแสดงออกและรับรู้ อย่างไรก้ตามเป้นที่สังเกตุว่า
ประติมากรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เป็นภาพคน มักจะเป็น
ภาพผู้หญิงและเน้นการบ่งบอกรูปทรงทางเพศที่แสดงออกถึง
ร่องรอยการให้กำเนิดมาอย่างโชกโชน เช่น ประติมากรรมสลักหิน
รูปวีนัสแห่งวิเลนดอร์ฟขนาดสูง4นิ้วเศษ พบที่วิเลนดอร์ฟ(Willendorf)
ออสเตรีย อายุราว 25000-20000ปีก่อนคริสตกาล ประติมากรรมวีนัส
แห่งเลส์ปุค สลักจากงาช้างอายุราว 20000ปีก่อนคริสตกาล
พบที่ถ้ำเลส์ปุค ฝรั่งเศส ต่างเน้นลักษณะทางเพศและมีขนาดเล็ก
ซึ่งส่วนใหญ่สร้างขึ้นเพื่อเน้นการตอบสนองทางความเชื่อ(Belief Art)
ซึ่งอาจใช้เป็นสิ่งเคารพบูชาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตามตัวเพราะขนาด
ไม่ใหญ่สามารถจับถือได้เหมอะมือ และสาเหตุที่เลือกเพศหญิง
เพราะเพศหญิงเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ได้ ดังนั้นประติมากรรม
สมัยก่อนประวัติศาสตร์จึงเน้นแสดงออกถึงลักษณะดังกล่าวอย่างเด่นชัด























ประติมากรรม Venus of Willendorf